ข้อมูลเพื่อการสั่งซื้อสินค้าสำคัญอย่างไร
ผมนำประสบการณ์เรื่องการสั่งซื้อมาเปิดประตูสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะการจัดซื้อเป็นหัวใจของการควบคุมการเงินซึ่งถ้าขาดความเข้าใจ
ก็จะไม่มีเงินมาหมุนเวียนใช้จ่ายในบริษัทได้
ถึงจะขายดีปานไหนถ้าการจัดซื้อไม่ถูกต้องเสียแล้ว ก็เจ้งเอาได้ง่ายๆ
ปัญหาของการสั่งซื้อ
ถ้าการสั่งซื้อไม่มีประสิทธิภาพ หรือขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไม่มีความรู้เบื้องต้นที่จำเป็นในการทำหน้าที่นี้
ร้านค้าหรือบริษัทต่างๆก็จะต้องพบกับปัญหาเหล่านี้
1. ซื้อของที่ขายไม่ได้มาเก็บสต๊อคโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เงินจมกับสต๊อคไม่สามารถเอามาใช้จ่ายหมุนเวียนได้
2. ซื้อของที่ขายได้แต่ซื้อมากเกินไปเพราะไม่เข้าใจเรื่องการทำบัญชีสต๊อคเงินก็จมเหมือนข้อ1.
3. ของขาด
เพราะสั่งซื้อช้า ทำให้เสียโอกาส ลูกค้าจะมาซื้อไม่มีของขายเพราะวางแผนซื้อผิดพลาด
4. ของขาดเพราะไม่เข้าใจเรื่องการบริหารสต๊อค
ถึงหน้าขายกลับไม่สั่งซื้อมาเผื่อไว้ล่วงหน้าพอขายดีของหมดก่อนทำให้เสียโอกาสการขาย ลูกค้าหันไปซื้อร้านอื่น
5. ซื้อของราคาแพงต้นทุนสูง
ลองมาเทียบเคียงปัญหากับบริษัทที่ขายรถมอเตอร์ไซด์เพื่อให้เห็นตัวอย่างชัดเจนขึ้น
1. สั่งซื้อรถรุ่นที่ขายไม่ได้เข้ามา
2. สั่งซื้อตามที่บริษัทรถบังคับหรือตามเป้าที่บริษัทผู้ผลิตนำเสนอ
3. สั่งซื้อสีรถที่ขายไม่ได้เข้ามา
4. สต๊อครถมหาศาลเพราะในโกดัง
มีรุ่นรถที่ขายไม่ได้ มีรุ่นรถที่ถูกบังคับซื้อตามเป้าของ
บริษัทผู้ผลิตรถ มีสีรถที่ขายไม่ได้
แล้วรถสต๊อคเก่าที่เหลือมาอีก2-3ปี รวมๆแล้วต้องไปเช่า
โกดังเพิ่มเพราะโกดังเก่าไม่พอเก็บรถ
ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ถ้าเถ้าแก่มีเงินเหลือ
มากมายก็พอหายใจได้ระยะหนึ่ง
ถ้ามีเงินจำกัดก็ต้องเตรียมบอกลาลูกค้าและพนักงาน
5. เงินจมไปอยู่ที่สต๊อครถหมด
6. ต้องนำรถที่ค้างสต๊อคมาเลหลังขายถูกเพื่อนำเงินหมุนเวียนกลับ
7. กำไรลดลง
8. บางรายเงินช๊อตปิดร้านไปเลย
ข้อเสนอแนะ
การสั่งซื้อสินค้าดูว่าง่ายมีเงินก็ซื้อไปไม่เห็นเป็นไร
คิดอย่างนี้เศรษฐีก็เป็นยาจกได้ หลายๆคนโดยเฉพาะแม่ค้าทั่วไปคิดว่าถ้าซื้อของที่ไม่ใช่ของกินของใช้ไม่เป็นไร
ไม่เน่าไม่เสีย แต่ลองนึกให้ดีๆว่าของไม่เน่าเสียที่เป็นความเชื่อที่ขาดความรู้นี้
มีผลอย่างไรกับการบริหารเงิน ผลก็คือเงินที่จะซื้อต่อไปมีน้อยลงแล้วเพราะส่วนหนึ่งมันถูกซื้อเป็นของที่ขายไม่ออกหรือออกช้าเอาไปเก็บไว้เพราะความเชื่อที่ขาดความรู้
ขณะที่รายจ่ายนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง
ถ้าขายไม่ดีสต๊อคมากก็พาลจะไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง ค่าน้ำค่าไฟ
ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นเพื่อให้ร้านค้าพยุงตัวไปได้ ถ้าเกิดสภาพนี้ขึ้นแลัวจะเดือดร้อน
เพราะเริ่มหมุนเงินไม่ทันต้องไปกู้หนี้ยืมสินทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยผลก็คือต้องขึ้นค่าสินค้าเพราะต้นทุนการเงินสูงขึ้น
ที่นี้ก็จะยุ่งเพราะราคาแพงกว่าคู่แข่งขันขายไม่ได้หรือขายได้น้อยลง
จึงต้องเข้าใจเรื่องการจัดซื้อสินค้าให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นว่าในขั้นตอนของการสั่งซื้อสินค้านั้น
เราต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง ข้อมูลที่มีจะนำมาใช้อย่างไร
เพื่อสามารถควบคุมการสั่งซื้อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
คือมีรุ่นรถตามต้องการขายจริง มีสีรถตามต้องการขายจริง มีจำนวนรถตามต้องการขายจริง
มีสต๊อครถในระดับเหมาะสมเพื่อตอบสนองตลาดได้ทันกาล
ทำให้เกิดสภาพคล่องมีเงินใช้จ่ายหมุนเวียนได้โดยไม่หยุดชงัก
ข้อแนะนำเหล่านี้ใช้ได้กับสินค้าทั่วไป ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กทั่วไป
ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติพื้นฐาน
แม้ร้านค้าเหล่านี้จะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยจัดการหรือเชื่อมโยงโปรแกรมของบริษัทแม่แล้วก็ตาม
การเรียนรู้เรื่องนี้ก็เหมือนมีองค์ความรู้เรื่องนี้แล้วจะไปประยุกต์อย่างไรก็แล้วแต่ถนัด
เราต้องเริ่มต้นอย่างไรเพื่อปรับระบบจากมโนการสั่งซื้อมาเป็นการสั่งซื้อที่เป็นวิทยาศาสตร์
จับต้องได้ อธิบายได้ มีหลักฐานที่มา ตรวจสอบได้ อ้างอิงได้
เราต้องเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูล
ข้อมูลอะไรบ้างที่เราจะต้องใช้ถ้ามีอยู่แล้ว หรือถ้าไม่มีต้องจัดทำขึ้นใหม่
1.1. ข้อมูลการขายสินค้าที่ผ่านมา
เราต้องเก็บข้อมูลการขายสินค้าของปีที่ผ่านอย่างน้อย3ปีเพื่อดูแนวโน้มการขายสินค้าแต่ละรุ่นแต่ละสี
ว่ารุ่น
ไหนขายดี สีไหนขายดี
การเก็บข้อมูลต้องเก็บเป็น12เดือน คือตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม สำหรับบริษัท
ร้านค้าทั่วไป แต่บางบริษัทอาจใช้ปีการเงินที่แตกต่างกันไปก็ไม่ใช่ปัญหาขอให้อยู่ในรอบ12เดือนก็แล้วกัน
ถามว่าข้อมูลนี้จะให้เก็บในเดือนไหน
ทันทีที่คุณอ่านข้อแนะนำนี้จบ สมมติว่าคุณกำลังจะสั่งซื้อสินค้าใหม่ใน
เดือนธันวาคม
แต่ตอนนี้ต้นเดือนพฤศจิกายน คุณต้องสั่งซื้อไม่เกินวันที่25พฤศจิกายน
คุณก็เริ่มเก็บข้อมูล
ทันที
บริษัทคุณอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่แล้วก็ง่ายหน่อย
ให้ทางบัญชีหรือการตลาดหรือการขาย
แล้วแต่แต่ละบริษัทที่อาจมอบหมายหน้าที่ในการดูแลข้อมูลในการรายงานการขายต่างกัน
ให้เขาปริ้นรายงาน
การขายย้อนหลัง3ปีมาให้
แล้วคุณก็ดูเฉพาะยอดขายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา3ปี สินค้าอะไรขายดี สีไหนขาย
ดี เมื่อทราบจำนวน
ทราบสี ทราบรุ่น
ก็นำข้อมูลนั้นมาใช้ประมาณว่าควรสั่งซื้อจำนวนเท่าไรในแต่ละรุ่นแต่ละ
สี
1.2. รายงานสต๊อคคงเหลือ
รายงานสต๊อคคงเหลือเพื่อตรวจสอบสต๊อคว่า รุ่น สี แบบ ที่จะสั่งซื้อมีสต๊อคเหลืออยู่เท่าไร
ถ้าบางรุ่น บางชิ้นเหลือมากก็ไม่ต้องสั่งหรือสั่งน้อยเพื่อให้มีสต๊อคพอขาย
อาจมีคำถาม
ถามว่าควรสต๊อคจำนวนเท่าไรดี
ปกติทางโปรแกรมคอมพิวเตอร์เขาจะมีจุดสั่งซื้อให้อยู่แล้ว
หากมีสต๊อคเหลือตามที่โปรแกรมเขาเขียนเอาไว้
คอมพิวเตอร์ก็จะแจ้งให้เราสั่งซื้อ แต่อย่าลืมว่าคอมพิวเตอร์
มันปรื้อ
มันไม่รู้หรอกว่าอันที่มันจะสั่งซื้อมันตกรุ่นไปแล้ว
และกระแสในตลาดเป็นอย่างไรตอนนี้สินค้าไหน
กำลังอยู่ในกระแสต้องสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น
หรือถ้าเป็นกรณีรถปีหน้าจะเปลี่ยนรุ่นแล้วคอมพิวเตร์ไม่รู้หรอก ถ้า
สั่งตามคอมพิวเตอร์ย่อมผิดพลาดได้เพราะไปสั่งรถรุ่นเก่าหรือสินค้าที่ขายไม่ได้เข้ามา
ก่อนสั่งซื้อจึงสมควร
ตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ด้วย
จึงอยู่ที่ดุลยพินิจของผู้สั่งที่ต้องมีความเข้าใจความเป็นไปของตลาด
ฉะนั้นส่วนใหญ่ถ้าเป็นสินค้าที่ซื้อมาจำหน่ายผู้จัดการขายจึงเป็นผู้ที่สั่งซื้อเพราะทราบความเคลื่อนไหวของ
ตลาดดีกว่าแผนกหรือฝ่ายจัดซื้อแน่นอน
นอกจากนั้นจำนวนการสั่งซื้อยังเกี่ยวข้องกับโปรแกรมการส่งเสริม
การตลาดของฝ่ายขายด้วย
เพราะหากมีการส่งเสริมการขาย ลดแลกแจกแถมยอดขายก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้น การ
สั่งซื้อก็จะไม่ใช่การดูจากยอดขายที่ผ่านมาอย่างเดียวแล้วต้องดูจากแผนงานการส่งเสริมการขายประกอบด้วย
1.3. ใบประมาณการสั่งซื้อ
โดยหลักการแบบง่ายถ้าไม่ดูที่ข้อยกเว้นต่างๆข้างต้นนั้น
เราต้องทำแบบฟอร์มใบสั่งซื้อขึ้นมาใหม่ด้วย
โปรแกรมExcel แล้วลงรายละเอียดทั้งด้านจำนวนสินค้าที่คาดว่าจะขายในเดือนนั้นๆ
ลงสต๊อกสินค้าว่าเหลือ
เท่าไร
และจะซื้อเท่าไรแล้วใส่สูตรคำนวณเข้าไป เราก็จะรู้ว่าถ้าจะซื้อเท่านี้
สต๊อคมีอยู่เท่านี้ จะเหลือสต๊อค
สุทธิเท่าไร ถ้าสต๊อคสุทธิเท่ากับประมาณการขายก็เท่ากับเหลือ1เดือน
ถ้าไม่ถึงก็คำนวณออกมาเป็นวัน
โดยถือว่าใน1เดือนมี26วันหรือ24วันทำงานซึ่งแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกันในเรื่องจำนวณวัน
เราก็จะสามารถคำนวณได้ว่าสต๊อคที่เหลืออยู่นั้นเหลืออยู่กี่วัน
ถ้าเจ้านายถามเราก็สามารถตอบได้ทุกรายการและให้เหตุผลในแต่ละรายการว่าทำไมจึงต้องสั่งซื้อจำนวนเท่านี้
ข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประกอบการจัดซื้อ
1. ควรระบุรายละเอียดของสินค้าให้ครบถ้วน
ให้ละเอียดที่สุดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พนักงานที่ไม่ได้อยู่ในแผนกขายได้เข้าใจตรงกัน
และเผื่อสำรับพนักงานใหม่ที่จะช่วยให้เขาศึกษางานได้เร็วยิ่งขึ้น
เพราะพอมีข้อมูลให้เขาสืบค้นต่อหรือทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเช่นรุ่นอะไร
รหัสสินค้าอะไร รหัสสีอะไร ปีที่ผลิต ปีอะไร ขอยกตัวอย่างรายละเอียดของรถจักรยานยนต์
เช่นต้องมีข้อมูลขื่อรถ รุ่นรถ รหัสรถ สีรถ ซีซีเครื่องยนต์ ปีที่ผลิต
ระบบสตาร์ทเป็นแบบไหน เบรกหน้าเป็นแบบไหน เบรกหลังเป็นแบบไหน
ล้อเป็นซี่ลวดหรือล้อแมกซ์ ที่ต้องลงรายละเอียดครบถ้วนก็เพื่อไม่ให้เกิดการนับซ้ำ
เช่นใส่รายทั้งหมดครบถ้วนแต่ไม่ได้ใส่ประเภทล้อ ก็จะทำให้เกิดการนับซ้ำได้
เพราะล้อมอเตอร์ไซด์มี2แบบๆซี่ลวดกับแบบล้อแมกซ์
ถ้าไม่ใส่ให้ครบก็จะเอาทั้ง2แบบมารวมกันเวลาสั่งซื้อก็ไม่รู้ว่าจะสั่งแบบไหนดีเพราะไม่ได้แยกเอาไว้
เวลาเก็บตัวเลขการขายก็ไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องล้อไว้เช่นกัน
ตอนนี้ก็จะเกิดการมั่วสั่งขึ้นเกิดความเสียหายกับบริษัทในที่สุด
|
ชื่อ
|
รุ่น
|
รหัส
|
สี
|
ซีซี
|
ปี
|
สตาร์ท
|
เบรกหน้า
|
เบรกหลัง
|
ล้อ
|
คงเหลือ
|
|
1
|
Honda
|
MSX125
|
XXXXX
|
ดำ
|
125
|
2015
|
เท้า
|
ดิส
|
ดรัม
|
แมกซ์
|
10
|
2
|
Yamaha
|
R15
|
XXXXX
|
ฟ้า/ขาว
|
150
|
2015
|
เท้า/มือ
|
ดิส
|
ดิส
|
แมกซ์
|
15
|
3
|
Yamaha
|
Spark115I
|
XXXXX
|
แดง/ดำ
|
115
|
2014
|
เท้า
|
ดรัม
|
ดรัม
|
ซี่ลวด
|
100
|
XXXXX
|
ขาวแดง
|
115
|
2014
|
มือ
|
ดิส
|
ดรัม
|
แมกซ์
|
100
|
1. นึกอยู่เสมอว่า
เวลาส่งมอบสินค้ากี่วันนับจากวันที่เราสั่งสินค้าไป เพราะข้อมูลตรงนี้คนที่ไม่ได้อยู่ในแผนกจัดซื้อจะไม่ค่อยประสีประสากัน
แม้ฝ่ายจัดซื้อเองก็อาจไม่เข้าใจเสียทุกบริษัทไปเพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีการส่งสินค้าไม่ทันเป็นแน่
ทำไมเวลาการส่งมอบสินค้าสำคัญ
เหตุผลก็คือจำนวนที่เราจะสต๊อคจำนวนเท่าไรขึ้นอยู่กับ
เวลาที่ผู้ผลิตจัดส่งให้เป็นสำคัญ
ถ้าไม่เอาปัจจัยเวลาส่งมอบมาคิดก็จะทำให้เกิดสต๊อคผิด
พลาดได้
ผิดพลาดอย่างไร ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆดังนี้
สมมติว่า
ประมาณยอดขายไว้ว่าเดือนธันวาคม จะขายรถ30คัน ในสต๊อกขณะนี้มีเหลืออยู่
10คัน
ถ้าสั่งซื้อโดยไม่คำนึงถึงเวลาส่งมอบ ร้านก็จะสั่งเพิ่มอีก 20คันเพื่อให้มีรถขายตามที่
ประมาณการณ์ไว้30คัน
แต่สมมติว่าโรงงานจะส่งรถให้หลังจากที่ได้รับใบสั่งซื้อ 20วัน ลอง
จำลองเหตุการณ์ดูว่าเราส่งใบสั่งซื้อไปวันที่30พฤศจิกายน
หมายความว่า รถจำนวน20คัน
จะได้จริงประมาณวันที่20ธันวาคม
สต๊อคที่เหลืออยู่ 10คัน นั้นก็จะขายหมดก่อนวันที่รถ
ใหม่จะเข้ามาโดยสมมติว่าขายได้วันละคัน
ทำให้เสียโอกาสในการขายไป10วันเพราะ
โรงงานยังไม่มาส่งรถให้
ถึงรถเข้ามา20คันก็จริงในเดือนธันวาคม แต่เดือนหน้าก็จะไม่มีรถ
ขายเพราะเราขายหมดในเดือนนี้แล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้เดือนนี้ควรสั่งเท่าไรดี ท่านลองไปทำ
การบ้านดูแล้วใครอยากรู้ลองอีเมลไปถามดู
ถ้าใครรู้แล้วก็ลองเฉลยดูเพื่อให้คนที่ตามไม่ทัน
ได้กระจ่าง
สรุปว่าข้อมูลที่ต้องใช้มีดังนี้
2.
รายงานสต๊อคสินค้าที่จะสั่งซื้อโดยมีรายละเอียดครบถ้วนเหมือนประวัติการขาย
3.
ใบประมาณการสั่งซื้อ
ซึ่งมีรายละเอียดสินค้าอย่างเดียวกับรายงานประวัติการขาย แต่ต้องมีช่องสต๊อคสินค้า
ช่องประมาณการขายในเดือนนั้น ช่องจำนวนการสั่งซื้อ
ช่องสต๊อคคงเหลือสุทธิเป็นเอกสารExcel เพื่อใช้คำนวณ
ตัวอย่างเอกสาร
ตัวอย่างเอกสารที่นำเสนออาจไม่ชัดเจนเพราะขนาดเล็กเกินไป
หากท่านต้องการต้นฉบับและฉบับที่มีสูตรคำนวณด้วยให้ ช่วยแจ้งที่อยู่อีเมลชื่อ แซ่
นามสกุล จะจัดส่งไปให้ หากมีคำถามก็เชิญหากจะติก็ขอให้ชมไว้ก่อนนะครับ
สุรชัย
พิพัฒน์ศิริศักดิ์
Line ID : s_2406
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น