วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไม่ใช่แค่รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งจึงจะขนะร้อยครั้ง


บรรดานักบริหารทั้งหลาย ไล่ตั้งแต่ผู้จัดการ ผู้จัดการทั่วไป กรรมการผู้จัดการ ประธานบริษัท มักคุ้นเคยกับคำกล่าวของซุนเจื่อ นักยุทธศาสตร์ ชาวจีน ที่ว่า “ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”ในหนังสือศิลปะแห่งสงคราม(The Art of War)
พวกเขาท่องประโยคนี้ของท่านซุนจื่อได้อย่างแม่นยำยิ่งนัก จนกลายเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกลงไปในระบบความคิดในการบริหารงานของบรรดานักบริหารทั้งหลายในปัจจุบัน ทั้งๆที่หลายท่านไม่เคยอ่านหนังสือยุทธศาสตร์เล่มนี้เลยแต่รับฟังมาจากนักวิขาการต่างๆที่นำมาเผยแพร่ให้รับรู้กันในวงสัมนา หรือการอ่านจากบทความเผยแพร่ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์



ความหมายดังกล่าวเมื่อนำมาตีความในเชิงธุรกิจ เข้าใจกันทั่วไปว่า การที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันได้นั้น ต้องสามารถล่วงรู้ลึกถึงตับไตไส้พุงของคู่แข่ง เช่นกลยุทธ์ของคู่แข่ง ผู้บริหารของคู่แข่ง แนวคิดที่คู่แข่งติดยึดอยู่ ระบบการจัดการทั้งการสั่งซื้อ การขาย การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรบุคคล ระบบการผลิต และในขณะเดียวกันก็ต้องรู้ว่าสิ่งต่างๆที่กล่าวนั้นในบริษัทของตนเป็นเช่นไรเช่นกัน

สรุปว่าแค่รู้เขารู้เราก็สามารถรบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้งแล้วหรือ ถ้าการบริหารการจัดการถือว่าเป็นศาสตร์เป็นด้านวิชาการที่มีเหตุมีผล คำกล่าวของท่านซุนจื่อก็อาจจะเทียบได้กับการสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการซึ่งต้องศึกษาคู่แข่งและปรับปรุงตัวเองที่จะเอาชนะคู่แข่งโดยการศึกษาสายโช่คุณค่า(Value Chain)เพื่อสร้างความแตกต่างในองค์ประกอบของสายโซ่คุณค่าเหล่านั้นซึ่งเป็นแนวคิดของนักยุทธศาตร์ธุรกิจสมัยใหม่ของไมเคิล พอร์ตเตอร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่รบร้อยครั้งก็จะชนะทั้งร้อยครั้ง

แต่การบริหารจัดการอีกด้านหนึ่งเป็นศิลปะซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยากและเป็นสิ่งที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ตกม้าตายมานักต่อนักแล้ว หากได้ศึกษาหนังสือศิลปสงครามของท่านซุนจื่ออย่างละเอียด ท่านซุนเจื่อได้ชี้เหตุแห่งความพ่ยแพ้ไว้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของศิลปการจัดการที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เป็นสำคัญ

ท่านกล่าวว่าเหตุแห่งความพ่ายแพ้นั้นเกิดจากผู้ปกครองหรือเทียบได้กับเจ้าของบริษัทในสมัยนี้ หรือผู้บริหารของบริษัทเข้าไปก้าวก่ายงาน ล้วงลูก สร้างความระส่ำระสายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้หมดกำลังใจ พนักงานขาดความทุ่มเทให้กับบริษัท ผู้บริหารฝีมือดีทะยอยลาออก สุดท้ายบริษัทเกิดความเสียหาย หรือต้องเติบโตช้าลงแทนที่จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ประธานบริษัทหรือผู้บริหารระดับสูงเมื่อเทียบเคียงกับผู้ปกครองในความหมายท่านซุนจื่อได้สร้างความเสียหายให้กับกองทัพหรือบริษัท 3 ประการ
ประการที่1 ไม่ควรรุกแต่สั่งให้รุก
เพราะผู้ปกครองไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่มีความชำนาญเพราะไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติงานมาก่อน ก็ไปสั่งการผิดๆถูกๆ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือบริษัท
ประการที่2 ไม่ควรถอยแต่กลับสั่งให้ถอย
ประเภทนี้เหมือนกับประการแรก
ประการที่3 ไม่เข้าใจหลักการยุทธ์ ก็เข้าไปบัญชาการรบเอง
ทำให้กองทัพสับสนอลหม่าน ถ้าเป็นองค์กรธุรกิจก็ยุ่งเหยิงอลวนปั่นป่วนไปหมดทั้งองค์กร เพราะประธานบริษัทลงมาทำหน้าที่ของผู้จัดการ แทนการทำหน้าที่ในการกำหนดทิศทางของบริษัท

ท่านซุนจื่อได้แนะนำวิธีการบริหารที่เป็นศิลปะว่าต้องยึดหลัก 5ประการจึงจะชนะศึก
1.       รู้ว่าควรรบหรือไม่ควรรบ
2.       รู้หลักการใช้ทหารมากหรือน้อย
3.       ฝ่ายนำและผู้ใต้บังคับบัญชา ร่วมจิตสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียวกัน
4.       เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
5.       ขุนพลเก่งกล้า ผู้ปกครองไม่สอดแทรกก้าวก่าย ปล่อยให้ปฏิบัติงานได้โดยเสรี

สรุปว่า ต้อตอแห่งความพ่ยแพ้ทางธุรกิจนั้นไม่ได้อยู่ที่รู้เขารู้เราเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่พฤติกรรมของผู้ปกครองที่เป็นผู้คุมโชคชะตาของรัฐด้วยหรือผู้บริหารของบริษัทที่กุมโชคชะตาของบริษัทด้วย ว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องหรือไม่ หากไปทำหน้าที่ของลูกน้องก็ไม่ต้องทำนายเลยว่า ถึงจะรู้จุดอ่อนจุดแข็งของบริษัทตนเองและบริษัทอื่นๆเป็นอย่างดีก็ไม่มีวันชนะศึกได้ เพราะผู้บริหารผู้นั้น ไม่รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง ก็ย่อมนำบริษัทไปสู่การถดถอย ก้าวไม่ทันคู่แข่ง เกิดความแตกแยก บางบริษัอาจถึงกับล่มสลายก็เป็นได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น